พระพุทธมหามงคลบพิตร
หรือ “สมเด็จพระพุทธมหามงคลบพิตร” เป็นพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งของไทยมาช้านาน
แต่น้อยคนนักที่รู้จัก มีแต่การเดาและเล่าขานกันต่าง ๆ นานาในบางกลุ่มเท่านั้น
ดังนั้น
จึงขอนำเรื่องราวของท่านมาเล่าขานสู่กันฟังจากการบอกเล่าของครูอาจารย์และท่านผู้มีพระคุณ
เพื่อความเป็นมงคลแก่ท่านที่สนใจ
สมเด็จพระพุทธมหามงคลบพิตร ท่านสาธุชนพุทธบริษัทปัจจุบันมีอยู่สององค์
ประดิษฐานอยู่ที่บ้านน้ำน้อย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
ทั้งสององค์ก็เนื่องด้วยพระมหากษัตราธิราชเจ้า มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่
และเป็นทองคำแท้ ๆ เนื้อเก้าองค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่งเป็นทองสัมฤทธิ์
และการสร้างพระวิหารนี้
มีความเกี่ยวพันกับหลวงพ่อฤาษีพระราชพรหมยานทั้งในอดีตชาตินานมา
และชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่าน พระพุทธมหามงคลบพิตรทั้งสององค์นั้น
องค์ใหม่อยู่บนดินในพระวิหาร องค์เดิมอยู่ใต้ดินใต้พระวิหาร
ท่านบอกว่าองค์ใต้ดินเป็นทองเนื้อเก้า
ถอดออกได้เป็นเก้าชิ้น สวยงามมาก ขนาดหน้าตักกว้างราวสามเมตร
ใหญ่กว่าองค์ใหญ่ในวิหาร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
สร้างสมัยสุโขทัยโดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพ่อขุนศรีเมืองมาน
สมัยนั้นบ้านเมืองอุดมเจริญรุ่งเรืองมาก
สำหรับความเป็นมาของการพบพระ และการทำนุบำรุงก่อสร้างวิหารน้ำน้อยหรือวิหารสมเด็จพระพุทธมหามงคลบพิตร
พอสรุปรวมความจากคำบอกเล่าของผู้อยู่ในเหตุการณ์ (ม.ล.วรวัฒน นวรัตน์
คุณป้าจันทร์นวล นาคนิยม คุณยายกิมไล่ ชูโตชนะ) รวมทั้งท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
พระครูปลัดอนันต์ พุทธญาโณ และที่หลวงพ่อฤาษีท่านเคยเล่าขานไว้คือ
สมัยที่หลวงพ่อฤาษีเดินทางไปสงเคราะห์ลูกหลานพุทธบริษัททางภาคใต้ครั้งแรก
พ.ศ.2518 โดยมีหลวงปู่สิมพุทธจาโร วัดถ้ำผาปล่อง หลวงปู่ครูบาธรรมชัย
วัดทุ่งหลวงร่วมไปด้วย ที่จังหวัดชุมพร กระบี่สุราษฎร์ธานี พังงา ภูเก็ต ตรัง
พัทลุง และสงขลา พอคณะของหลวงพ่อเดินทางไปถึง สามแยกควนเนียง
(เป็นทางแยกมีถนนไปสตูลบรรจบกับถนนจากพัทลุงและไปหาดใหญ่)
มีเทวดาเครื่องทรงแพรวพราวสวย งาม
ปรากฎกายหน้ารถต้อนรับหลวงพ่อและเหนือศีรษะเทวดาองค์นั้น
มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ลอยอยู่ เป็นนิมิตรหมายสะดุดตา เมื่อหลวงพ่อท่านเข้าที่พักผ่อนตอนกลางคืน
ขณะเอนกายลงนอนมีพรหมองค์หนึ่งมานั่งอยู่ทางปลายเท้าและบอกกับหลวงพ่อว่า “จะมาบอกเรื่องพระใหญ่”
แล้วได้เล่าให้หลวงพ่อฟังว่า
มีพระ พุทธรูปทองคำเนื้อเก้าเป็นทองคำแท้ฝังอยู่ใต้ดิน (ที่บ้านน้ำน้อย หาดใหญ่)
จุดนั้นอยู่ห่างจากทาง รถไฟ ไปประมาณ 30 วา และออกจากเมืองหาดใหญ่ไปประมาณห้ากิโลเมตร
เดิมพระพุทธรูปองค์นี้อยู่ในเมืองสงขลา สร้างในสมัยสุโขทัย
สมัยนั้นสร้างพระทองคำใหญ่สามองค์ด้วยกัน
ขนาดเล็กกว่ากันลดขนาดลงมานิดหน่อยตามลำดับแต่ละองค์ สามารถถอดออกได้
ประกอบได้เป็นเก้าชิ้น ไม่มีโลหะเจือปน ทั้งนี้ความมุ่งหมายในการก่อสร้างนั้น
ท่านบอกว่ามีนัยเพื่ออาศัยพุทธานุภาพป้องกันภยันตราย ทุพภิกขภัย
ให้ชาวไทยอยู่ร่มเย็นเป็นสุข และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจพุทธบริษัท
รวมทั้งการเป็นปึกแผ่นของแผ่นดินไทยเพื่อลูกหลานเหลนไทยในอนาคตกาลข้างหน้า
พระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่สุดท่านบอกว่า ขณะนี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร
คือหลวงพ่อพระพุทธสุโขทัยไตรมัตร อยู่ประจำภาคกลางของประเทศในกรุงเทพมหานคร
องค์ที่สองเล็กกว่าองค์แรกเล็กน้อย
เล็กเท่าใดไม่แน่ชัด ขนาดหน้าตักเกือบสามเมตร เดิมประดิษฐานอยู่ในตัวเมืองสงขลา
เป็นพระประจำภาคใต้ ขณะนี้อยู่ใต้ดิน ใต้วิหารน้ำน้อย องค์ที่สาม
เล็กกว่าองค์ที่สอง เป็นองค์น้องสุดในสามองค์ แต่น้ำหนักเป็นตันด้วยทองคำแท้ ๆ
องค์ที่สามนี้อยู่ในลำน้ำโขงตรงกลางแม่ น้ำแบ่งเขตแดนไทยกับชาติอื่น
มีผู้รู้ท่านหนึ่งเล่าว่า ไม่นานมานี้ขณะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำโขง บริษัทรับเหมาก่อสร้างพบเห็นพระพุทธรูปองค์นี้
พยายามใช้ลวดสลิงขนาดใหญ่ดึงองค์พระขึ้นมาจากน้ำ ปรากฎว่าลวดสลิงขาด
พระท่านจมลงไปในน้ำไม่สามารถนำขึ้นมาได้
พระพุทธรูปองค์ที่สอง อยู่ที่เมืองสงขลามาตลอด
จนถึง พ.ศ.2310 ที่กรุงศรีอยุธยาเสียเมืองแก่พม่า พวกพม่าทำลายวัดวาอารามเอาพระพุทธรูปสำคัญ
ๆ ลอกเอาทองคำกลับเมืองตนมากมาย
เฉพาะทองคำที่พระศรีสรรเพชรองค์เดียวที่พม่าข้าศึกทำลายองค์พระนำทองไป
มีน้ำหนักกว่า 25,000 ชั่ง ข่าวนี้ได้แพร่ไปถึงภาคใต้
ซึ่งกองทัพส่วนหนึ่งของพม่ายกลงไปตีภาคใต้ ชาวเมืองสงขลารู้ข่าว
จึงระดมคนแอบนำพระพุทธรูปทองคำล้วนทั้งองค์ล่องไปตามลำน้ำทางเรือ
หาทำเลซ่อนองค์พระ พอไปถึงบ้านน้ำน้อยเห็นทำเลเหมาะเพราะเป็นป่าทึบ
จึงเกณฑ์คนกว่าสามร้อยคนช่วยกันขุดหลุมลึกกว้าง 5 วา
แล้วสร้างกำแพงอิฐโดยรอบยารอยต่อกันน้ำซึมเข้าลักษณะคล้าย ๆ สี่เหลี่ยมผืนผ้า
บรรจุอัญมณีเครื่องประดับมีค่ามากมายไว้กับองค์พระเป็นพุทธบูชา
แล้วเก็บงำเป็นความลับสุดยอดจนคนต่อ ๆ มาไม่มีใครรู้ จนลุถึง พ.ศ. 2518
จึงนำความมาบอกหลวงพ่อฤาษีฯ เพราะท่านบอกว่า
คณะเราเป็นนักบุญแท้ไม่ทอดทิ้งงานพระพุทธศาสนา
จึงขอให้สร้างเจดีย์หรือสถูปบนดินเหนือองค์พระ กันไม่ให้คนเดินข้ามเศียรพระ
จะเป็นโทษแก่พวกเขา นอกจากนี้สมัยก่อนโน้น
หลวงพ่อก็เป็นผู้ร่วมสร้างพระทองคำทั้งสามองค์ด้วย
พระพุทธรูปทั้งสององค์ทั้งในดินและในน้ำ
ท่านบอกว่าเมื่อถึงเวลาคือประชาชนมีจิตใจดี มีศีลธรรมมากกว่านี้
ทั้งสององค์จะปรากฎขึ้นมาเอง ถ้านำขึ้นมาก่อนจะมีโทษมากกว่าประโยชน์
เพราะความโลภของคนและหลวงพ่อบอกว่าสำคัญมากสำหรับแดนดิน ไม่ควรนำขึ้นมาเป็นอันขาด
เมื่อเราทราบข่าวว่า
พระครูปลัดอนันต์และลูกหลานหลวงพ่อจะไปบูรณะเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี เมื่อ 25
สิงหาคม 2539 ของการสร้างวิหาร การบูชาพระมหามงคลบพิตร จึงเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่า
พระใหญ่ในดินนั้นเป็นเช่นไร แล้วก็ฝันไป (ฝันก่อนได้ยินเขาเล่าขานจากผู้รู้)
ว่าเป็นพระใต้ดินปางมารวิชัยองค์ใหญ่เป็นวา หน้ายิ้มละมัยสวยชวนมอง ค่อนข้างกลม
อิ่มเอิบสมส่วน (บรรยายยาก) เห็นแล้วชี่นใจ
และถ้าจำทิศไม่ผิดพลาดท่านหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
พระสององค์สำคัญทั้งในดินและในน้ำที่กล่าวแล้วนั้น
ช่วยป้องกันและเชื่อมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว เพราะมีคนคอยจ้องจะทำลายเป็นศัตรูอยู่ตลอดเวลา
แบบปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ รอฉกฉวยโอกาสให้เราคนไทยวุ่นวายหงุดหงิดเป็นนิจ
ต่อมาข้าพเจ้าจึงได้รับฟังคำบอกเล่าจากผู้รู้และอยู่ในเหตุการณ์สมัยหลวงพ่อท่านเริ่มไปสงเคราะห์ภาคใต้
ซึ่งก็ใกล้เคียงกันมาก ๆ
ทีนี้หลวงพ่อและหลวงปู่เมื่อไปพิสูจน์ดูก็เห็นเป็นจริงตามที่พรหมบอก
แต่ปู่ครู “หลวงปู่ธรรมชัย” เห็นทีหลังหลวงพ่อและหลวงปู่สิมว่ามีพระและอัญมณีมากมายควรค่าแก่กษัตริย์
เนื่องจากถูกกเทวดาล้อเล่นโดยเอามือปิดบังเอาไว้
จากนั้นหลวงพ่อก็ติดต่อหาเจ้าของที่ดินของซื้อที่ตรงนั้น เจ้าของคือคุณยายกิมไล่
ชูโตชนะ และสามีไม่ยอมขาย แต่ยกให้ฟรี ๆ ตามแต่ต้องการ หลวงพ่อรับมาเพียง 200
ตารางวาเศษ ๆ เพื่อจัดสร้างวิหาร คณะศิษย์ท่าน โดยเฉพาะทางกรุงเพทฯ โดยท่าน “อ๋อย”
คุณเฉิดศรี และท่านเจ้ากรมเสริม สุขสวัสดิ์
เป็นหัวหน้าจัดหาเงินเป็นค่าวัสดุก่อสร้าง 240,000 บาท ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์
ผู้อำนวยการการไฟฟ้ากระบี่สมัยนั้น จัดแรงงานมาฟรีโดยคณะการไฟฟ้ากระบี่และนายณรงค์
ณ ตะกั่วทุ่ง ออกแบบวิหารวันที่ 15 พฤษภาคม 2519 พลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์
ได้ถวายพระพุทธรูป (แบบพระพุทธชินราช) แด่หลวงพ่อเพื่อประดิษฐานที่วิหารนี้
เป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ และเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2519
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
เสด็จพระราชดำเนินไปที่วิหารน้ำน้อยและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เศียรพระพุทธรูปองค์ใหม่นี้
(องค์เดิมในดิน มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ในพระอุระ) ตอนนั้นมีพระอริยเจ้าที่มีขันธ์
5 ไปร่วมพิธีอีก 6 องค์ นอกจากหลวงพ่อของเรา ได้แก่ หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร
หลวงปู่ชุ่ม โพธิ์โก หลวงปู่บุดดา ถาวโร หลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงปู่ครูบาชัยวงษา
และหลวงน้ามหาอำพัน ส่วนการกระทำพิธีบวงสรวง
อัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานในวิหารครั้งแรกนั้น มีหลวงปู่สิม หลวงปู่ครูบาธรรมชัย
และหลวงพ่อของเราดำเนินการ
สำหรับพระบรมสารีริกธาตุที่หลวงพ่อจัดเตรียมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพื่อทรงบรรจุในพระพุทธมหามงคลบพิตรนั้น
เป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาเองพร้อมตลับเงินฉลุสวยงาม คุณป้าจันทร์นวล นาคนิยม
เล่าว่า ตอนนั้นหลวงพ่อเดินไปมาคิดว่าจะเอาพระบรมสารีริกธาตุจากไหนถวายจึงจะเหมาะ
องค์เล็ก ๆ หลวงพ่อก็มีอยู่มากแล้ว
ท่านเห็นห่อผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองริมลูกไม้วางอยู่
เมื่อหยิบมาเปิดดูข้างในห่อผ้ามีตลับเหลี่ยมลายเงินฉลุงามมาก
มีฝาเปิดได้คล้ายนาฬิกาพกแบบโบราณ เมื่อเปิดฝาตลับ มีลูกกลม ๆ หินใส ๆ
สองข้างมองเห็นข้างใน มีพระบรมสารีริกธาตุกว่าสิบองค์ หลายสีสวยงามมาก
ที่เด่นชัดองค์โตราว ๆ เม็ดถั่วเขียว เป็นสีชมพูทับทิม 4-5 องค์ สีงาช้าง สีอิฐ
สีขาว หลวงพ่อจึงจัดเตรียมพระบรมสารีริกธาตุนี้แด่พระเจ้าอยู่หัวในวันนั้น
มีเกร็ดเล่าถึงวันที่ “ในหลวง”
เสด็จวิหารน้ำน้อย 26 สิงหาคม 2519 ว่า มีประชาชนมารอรับเสด็จมากมาย
บางคนกลัวฝนตกจะเป็นที่ลำบาก จึงได้บนกรมหลวงชุมพรหรือท่านท้าววิรุฬหก
ขอฝนอย่าตกจนกว่าพระองค์ท่านเสด็จกลับ แต่ท่านไม่รับการบน ท่านบอกว่า
ถ้าผู้มีบุญมาฝนต้องตกอย่างน้อยแบบปรอย ๆ (แต่ถ้าทำไม่ดีไม่ถูกต้องฝนจะตกหนัก)
ก็เป็นจริงตามนั้น ฝนตกปรอย ๆ พอชื่นใจ แบบที่เราพูดกันว่า “เทวดาพรมน้ำมนต์อวยพรให้”
ซึ่งมีปรากฎการณ์เช่นเดียวกันนี้ในวันฉลองวิหารครบ 20 ปี เมื่อวันที่
25 สิงหาคม 2539 เช่นกัน
ม.ล.วรวัฒนฯ เล่าเพิ่มเติมด้วยว่า
สถานที่พระใต้ดินอยู่นั้น เดิมทีอยู่หลังวิหารปัจจุบัน ที่ตรงนั้นเป็นแอ่งน้ำ
หลวงพ่อจึงให้สร้างค่อนมาทางหน้า เมื่อกระทำพิธีบวงสรวงเสร็จ
พระพุทธรูปและทรัพย์อัญมณีก็เลื่อนเข้าไปอยู่ใต้วิหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จะว่าเป็นอานุภาพของเทวดาที่อารักขาพระพุทธรูปอยู่จัดการให้ก็ได้ คณะศิษย์ของหลวงพ่อทางภาคใต้ได้ดำเนินการดูแลรักษาตลอดมา
ซึ่งจริงดังที่พระพรหมท่านว่าไว้เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2537
คณะศิษย์ฯได้ซ่อมแซมทั้งอาคารและองค์พระพุทธรูปในวิหาร ใช้เงินประมาณ 200,000 บาท
รวมทั้งได้อัญเชิญรูปหล่อของหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษี พระอาจารย์จากวัดท่าซุง
อุทัยธานี ไปประดิษฐานที่วิหารนี้
ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย คุณยายกิมไล่ ชูโตชนะ
ขณะนี้ได้ดำเนินการเรื่องยกที่ดิน 200 ตารางวาเศษ
ผืนสำคัญนี้ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ด้วยความช่วยเหลือจาก ม.ล.วรวัฒน์
นวรัตน์) เนื่องจากคุณยายไม่มีลูก อายุก็มากแล้ว ราว 90 ปี
ต่อไปอาจถูกคนโลภที่รู้เรื่องราวโกงเอาไปได้ ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่แล้ว
มีคนมาขออาศัยที่ของคุณยายใจดีท่านนี้ คุณยายก็ให้
แล้วเขาก็แอบไปออกโฉนดอ้างเป็นเจ้าของที่ยึดเอาไปเสียเฉย ๆ
ที่แห่งนั้นก็มีอยู่หลังวิหารน้ำน้อย “สมเด็จพระพุทธมหามงคลบพิตร” อาศัยเป็นที่ทำมาหากินแบบอื่นนอกนัยพระพุทธศาสนา
ซึ่งเราขอยืนยันวาไม่เกี่ยวกับ “พระพุทธมหามงคลบพิตร” ของเราแต่อย่างใด
ก่อนจะจบเรื่องเล่า พระพุทธรูปทองคำเนื้อเก้า
ถอดออกและประกอบได้เป็นเก้าชิ้นสำคัญ บังเอิญข้าพเจ้าได้ค้นพบเรื่องราวของ “พระทองคำวัดไตรมิตร”
อันมีการเอ่ยอ้างถึงข้างต้น ล้วนช่วยสนับสนุนคำกล่าวของ “ท่าน”
และเป็นการพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งด้วยว่า สร้างสมัยสุโขทัย
สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช โดยการพินิจพิเคราะห์เอาตามตำราศิลปะประจำยุคสมัย
ข้อเขียนอาจารย์ฉันทิชย์ กระแสสินธ์
และพลตรีผจญ กิตติประพันธ์ ล้วนมีใจความคล้ายกันโดยสรุปว่า
พระพุทธรูปทองคำแท้วัดไตรมิตร สร้างสมัยกรุงสุโขทัยยุคกลาง
ประมาณรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ( พ.ศ.1820-1860) ขนาดหน้าตักกว้างหกศอก
ห้านิ้ว (3.1 เมตร) พระเกตุยาวหนึ่งศอก หนึ่งคืบ (75 เซนติเมตร)
ความสูงรวมพระเกตุมาลา (ไม่คิดอาสนะ) เจ็ดศอก หนึ่งคืบ เจ็ดนิ้ว (3.9 เมตร)
ไม่รวมพระเกตุมาลาสูง 3.16 เมตร องค์พระถอดออกได้เป็นเก้าชิ้น
เพิ่งจะรู้ว่าเป็นพระทองคำแท้เมื่อ 26 พฤษาภาคม 2498 |