สุสานพระยายะหริ่ง ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 บ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลุโละ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ห่างจากมัสยิดกรือเซะไปทางทิศใต้ประมาณ 200 เมตร สุสานพระยายะหริ่ง เป็นที่ฝังศพของเจ้าเมืองยะหริ่ง คือ นิยูโซฟ หรือ โตะกียูโซฟ และเจ้าเมืองยะหริ่งอีก 2 ท่าน คือ นิเมาะ (บุตรของนิยูโซฟ) หรือพระยาพิบูลเสนานุกิจพิชิตเชษฐภักดี และนิโวะ (บุตรของนิเมาะ) หรือ พระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม พระยายะหริ่งคนแรก คือ นิยูโซฟ เป็นชาวกรือเซะโดยกำเนิด และเป็นเชื้อสายของพระยาเมืองปัตตานี มีประวัติเล่าต่อกันมาว่า เมื่อกองทัพไทยลงมาปราบปรามเมืองปัตตานี นิยูโซฟมีอายุเพียง 6 ขวบ ได้เข้าไปวิ่งเล่นในค่ายทหารของไทยเป็นประจำตามประสาเด็ก จนเกิดความคุ้นเคยกับทหารไทยเป็นอย่างดี เมื่อการปราบปราม เสร็จสิ้น กองทัพไทยเดินทางกลับกรุงเทพฯ นิยูโซฟได้ติดตามไปด้วยจนถึงกรุงเทพฯ นิยูโซฟได้อาศัยกับทหารคนหนึ่ง ซึ่งพาไปเลี้ยงดู จนได้บวชเป็นสามเณรและเป็นพระภิกษุอยู่หลายพรรษา พระนิยูโซฟสอบนักธรรมได้เป็นพระใบฎีกา เมื่อสึกจากพระ จึงได้เข้ารับราชการในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชสมัยสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาเมื่อหัวเมืองปักษ์ใต้เกิดความวุ่นวาย ทางราชการทราบว่านิยูโซฟมีเชื้อสายพระยาเมืองปัตตานี จึงได้รับแต่งตั้งให้รับสัญญาบัตรเป็น "พระยายะหริ่ง" ปกครองเมืองยะหริ่ง ในปี พ.ศ. 2388 และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเช่นเดิม นิยูโซฟได้จัดระเบียบการปกครองเมืองปัตตานีให้เป็นแบบไทย โดยให้สอดคล้องและไม่ขัดกับหลักปฏิบัติในศาสนาอิสลาม ตัวอย่างเช่น คดีความที่ต้องตัดสินหรือปรับสินไหมให้ใช้ตามพระราชกำหนดกฎหมายไทย เป็นแบบอย่างให้เมืองอื่นๆ เช่น รามันห์และปัตตานี ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับเมืองยะหริ่งในเวลาต่อมา
นิยูโวฟถึงแก่อสัญญกรรมในปี พ.ศ. 2396 ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระยายะหริ่งคนต่อมา คือ นิเมาะ บุตรคนที่สองของนิยูโซฟ ได้รับพระราชทินนามเป็น "พระยาพิบูลเสนานุกิจพิซิตเชษฐภักดี" ต้นตระกูล "อับดุลบุตร" เมื่อพระยาพิบูลเสนานุกิจฯ ถึงแก่อสัญกรรม บุตรคนที่ 2 คือ นิโวะ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระยายะหริ่งคนต่อมา และได้รับพระราชทินนามเป็น "พระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม" ซึ่งได้สร้างวังหลังใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2438 และยังปรากฎมาจนถึงทุกวันนี้ โดยรู้จักกันในชื่อ "วังยะหริ่ง" ล่วงมาถึงสมัยการปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล เมื่อปี พ.ศ. 2499 เมืองยะหริ่งถูกยุบรวมเข้าอยู่กับเมืองปัตตานี โดยเหลือเมืองในการปกครองของมณฑลปัตตานีเพียง 4 เมือง คือ เมืองปัตตานี (รวมเมืองหนองจิก ยะหริ่ง และปัตตา นี) เมืองยะลา (รวมเมืองรามันห์และยะลา) เมืองสายบุรี และเมืองระแงะ ตำแหน่งพระยาเมืองต่างๆ ที่ต้องสิ้นสุดลง โดยทางราชการส่วนกลางได้ส่งสมุหเทศาภิบาลมณฑล มาบริหารราชการแทนพระยาเมือง แต่สำหรับวงศ์ตระกูลพระยายะหริ่งยังคงมีบทบาททางการเมืองสืบต่อมาอีกหลายคน สุสานของพระยายะหริ่งทั้ง 3ท่าน และวงศ์ตระกูลตั้งอยู่ที่บ้านกรือเซะ ประดับประดาด้วยหินแกรนิตสลักลวดลายสวยงาม แต่เนื่อง จากสภาพของสุสานถูกทิ้งร้างมานาน หลังคาคลุมสุสานผุพังไปตามกาลเวลา คงเหลือแต่เสาหินแกรนิตตั้งโดดเด่นอยู่ จำนวน 9 ต้น จึงควรมีการบูรณะพัฒนา รวมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์และทางเข้าชมสุสาน เพื่อให้เป็นแหล่งโบราณสถานที่เกี่ยวกับบุคคลสำคัญของเมืองปัตตานีและเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสาตร์ของเมืองปัตตานีต่อไป |