ถ้าจะกล่าวถึงประวัติของอาคารคงต้องเริ่มท้าวความจากประวัติการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองปัตตานีของชาวจีน
ซึ่งจริงๆเเล้วสามารถนับถอยหลังไปได้ถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตั้งเเต่รัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ซึ่งตรงกับราชวงศ์เหม็งของจีน ในตอนนั้นมีชาวจีนชื่อลิ้มโต๊ะเคี่ยม
ปรากฏอยู่ในตำนานเมืองปัตตานี ซึ่งเป็นนายสำเภาเศรษฐีจีน
เดินทางมาค้าขายยังเมืองนครศรีธรรมราชในปี ค.ศ. 1580
ซึ่งตรงกับสมัยที่พระยาตานีเป็นเจ้าเมืองปัตตานี
เมื่อลิ้มโต๊ะเคี่ยมขายของที่เอามาจากจีนหมดเเล้ว
ก็ไม่ยอมกลับไปเมืองจีนเเต่ได้นำเรือมาเเวะเทียบท่าที่ปัตตานี
การเอาเรือเทียบท่าในสมัยก่อนต้องนำเครื่องบรรณาการไปถวายเจ้าเมือง
การนี้เองที่ทำให้ลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้พบกับธิดาสาวของพระยาตานี
เเละตกหลุมรักเข้าตั้งเเต่เเรกพบ
เเละได้สืบสัมพันธ์ไปเรื่อยๆจนลิ้มโต๊ะเคี่ยมยอมเข้านับถือศาสนาอิสลามเเละได้เเต่งงานกันในที่สุด
ในช่วงเวลาต่อมาลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้รับมอบหมายให้หล่อปืนใหญ่ 3
กระบอกถวายรายาบีรู นางพญาผู้ครองเมืองปัตตานี
หนึ่งในจำนวนนั้นคือปืนใหญ่ที่ชื่อศรีปัตตานี
ซึ่งถูกขนย้ายนำมาตั้งอยู่หน้ากระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน
หลังจากที่ปัตตานีพ่ายเเพ้การสู้รบกับสยามในปี ค.ศ. 1784
นอกจากนี้ลิ้มโต๊ะเคี่ยมยังได้รับเเต่งตั้งให้เป็นผู้เก็บภาษีสินค้าที่ปากอ่าวปัตตานีอีกด้วย
เมื่อลิ้มโต๊ะเคี่ยมไม่ยอมกลับจีน น้องสาวของเขาที่ชื่อ
ลิ้มกอเหนี่ยวจึงมาตามตัวพี่ชายถึงปัตตานีตามคำสั่งของมารดา
เเต่พี่ชายไม่ยอมกลับจึงผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ด้านหน้ามัสยิดกรือเซะ
ซึ่งพระยาตานีมอบหมายให้ลิ้มโต๊ะเคี่ยมบุตรเขยเป็นผู้ก่อสร้าง จึงเป็นจุดกำเนิดของเจ้าเเม่ลิ้มกอเหนี่ยว
|