เส้นทางที่ 5 เที่ยวเมืองโบราณ ฟังตำนานเจ้าแม่ , มัสยิดกรือแซะ - ศาลเจ้าแม่ลิ่มก่อเหนี่ยว -สุสานพญาอินทิรา - วังเก่ายะหริ่ง - หาดตะโละกาโปร์ - ชุมชนท่องเที่ยวแหลมโพธิ์ - สุสานบ้านดาโต๊ะ - เมืองโบราณยะรัง -วัดช้างไห้- อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว -พลับพลาที่ประทับ ร.๗
กำหนดการเดินทาง ปัตตานี 3 วัน 2 คืน
วันที่แรก ปัตตานี 08.30 น. คณะออกเดินทางจากที่พัก สู่เส้นทางการท่องเที่ยว 09.00 น. เยี่ยมชมมัสยิดกรือแซะมรดกอารยธรรมแห่งมหานครปัตตานีชมสถาปัตยกรรมแบบตะวันออกกลาง มัสยิดกรือเซ๊ะ หรือมัสยิดปินตูกรือบัง ได้เป็นโบราณสถานและทำการบูรณะ เมื่อปี พ.ศ.2478 และได้ทำการบูรณะอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2500 และในปี พ.ศ.2525 ได้ทำการบูรณะอีกครั้งเนื่องในโอกาสสมโภชน์ กรุงรัตนโกสินทร์ สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือ ศีลปะของมัสยิดกรือเซ๊ะ เป็นศิลปะแบบเปอร์เซีย ไม่ว่าจะเป็นซุ้มโค้งประตูหรือเมี๊ยะรอบ ล้วนแล้วแต่เป็นทรงและศีลปะแบบเปอร์เซียทั้งสิ้น มัสยิดกรือเซะยังคงถูกบันทึกว่าเป็นมัสยิดที่งดงามภายในมัสยิดมีลวดลายอันวิจิตร บนยอดโดมของมัสยิดกรือเซะหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ 10.00 น. ศาลเจ้าแม่ลิ่มก่อเหนี่ยวซึ่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวไทยเชื้อสายจีน และบุคคลทั่วไป เป็นศาลที่ประดิษฐานรูปแกะสลัก ของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว พระหมอ เจ้าแม่ทับทิม ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่เคารพสักการะของชาวจีนและชาวไทยโดยทั่วไปมาก ประวัติการสร้างหรือความเป็นมาของศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว มีการเล่าสืบต่อๆ กันมาเป็นตำนานที่เกี่ยวกับประวัติเมืองปัตตานี 11.00 น. สุสานพญาอินทิรา มุสลิมคนแรกของเมืองปัตตานี ตั้งอยู่ที่บ้านปาเระ ตำบลบาราโหม อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี เหนือหลุมฝังศพมีหินแกรนิตสลักเป็นรูปก้อนเมฆ และมีอักษรภาษาอาหรับกำกับอยู่ บริเวณนี้เคยขุดพบเครื่องใช้ของคนรุ่นโบราณมากมาย สุสานพญาอินทิรา หรือที่ชาบ้านเรียกว่า กูโบรายามะรือเก๊าะ เป็นสถานที่ฝังพระศพของอดีตกษัตริย์ราชวงศ์โกตามหลิฆัย ซึ่งกษัตริย์องค์นี้เป็นผู้สร้างเมืองปัตตานีดารัสลาม (นครแห่งสันติ) ขึ้นระหว่างปี พ.ศ. ๒๐๑๒ - ๒๐๕๗ เพื่อใช้เป็นเมืองท่าทำการค้าขายกับนานาประเทศ และเป็นกษัตริย์องค์แรกที่เปลี่ยนจากการนับถือศาสนาพุทธ เข้ารับศาสนาอิสลาม หลังจากเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามแล้ว เฉลิมพระนามใหม่ว่า สุลต่านอิสมาเอลซาห์ 11.45 น. เยี่ยมชมวังเก่ายะหริ่ง สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๘ ปลายรัชสมัยของรัชกาลที่ ๕ ผู้สร้างคือ พระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดี ศรีสุรสงคราม เป็นอาคารสองชั้น ครึ่งบนปูนครึ่งไม้ แบบเรือนไทยมุสลิม ผสมกับแบบยุโรป อาคารเป็นรูปตัวยู ชั้นบนจัดเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ด้านข้างของตัวอาคารทั้ง 2 ด้าน เป็นห้องสำหรับพักผ่อนของเจ้าเมือง และครอบครัวข้างละ 4 ห้อง ชั้นล่างเป็นลานโล่งแบบใต้ถุนสูง บันไดโค้งแบบยุโรป ช่องแสงประดับด้วยกระจกสีเขียวแดงและน้ำเงิน ช่องระบายอากาศและจั่วทำด้วยไม้ฉลุลาดลายเป็นพรรณพฤกษาตามแบบศิลปะชวา และศิลปะตะวันตก ทำให้ตัววังสง่ามาก ตัววังยังมีสภาพสมบูรณ์ดีถึงปัจจุบัน 12.00 น. หาดตะโละกาโปร์ ชายหาดที่ขาวสะอาด จุดเด่น หาดทรายทอดตัวยาวขนานไปกับทิวสนร่มรื่น มีสายน้ำพาคลื่นเคลื่อนมากระทบฝั่ง ในวันที่อากาศปลอดโปร่งน้ำทะเลจะมีสีคราม ทรายเป็นสีทองสวยงามมาก เหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ หากเลยไปยังหมู่บ้านประมงจะมีเรือกอและจอดเรียงรายอยู่เป็นทิวแถว ซึ่งชาวบ้านแถบนี้จะพาเรือออกไปทำประมงแล้วนำกลับมา โดยจะลากขึ้นมาเก็บในช่วงเช้าๆ สถานที่พักแรม บริเวณชายหาดยังไม่มีจุดพักแรม 12.30 น. บริการอาหาร และปฏิบัติภารกิจทางศาสนา 13.00 น. เดินทางต่อ 14.00 น. ชมทัศนียภาพ กิจกรรมทางทะเล 15.00 น. เยี่ยมชมวิถีชุมชนท่องเที่ยวแหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง 16.00 น. ชมสุสานบ้านดาโต๊ะ หรือ สุสานโต๊ะปาแย เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังศพของชาวมุสลิมในสมัยอยุธยา ที่ปรากฏในตำนานว่าเป็นศพของผู้ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์ ที่ตั้งของสุสาน -ดาโต๊ะปาแย-สุสานเจ้าเมืองปัตตานีและมัสยิดดาโต๊ะซึ่งบริเวณนี้เคยเป็นท่าพักเรือสินค้า แต่ภายหลังจังหวัดปัตตานีเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม สุสานดาโต๊ะและอ่าวปัตตานี และโดยรวมของพื้นที่ปัตตานีในสมัยก่อน และโบราณสถานศักดิ์สิทธิ์ของปัตตานีด้วย ที่เล่าขานกันมาจนถึงคนปัจจุบันได้เรียนรู้และนำความรู้ที่ได้ไปเล่าสู่กันฟังให้คนต่อๆไป 17.30 น. เดินทางเข้าที่พัก พักผ่อนตามอัธยาศัย
วันที่สอง ปัตตานี 07.30 น. บริการอาหาร ณ ที่พัก จากนั้นนำคณะเยี่ยมชม 08.30 น. เยี่ยมชม เมืองโบราณยะรัง ฟังบรรยายสรุป เรื่องราวจากมัคคุเทศก์ท้องถิ่น เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่ในพื้นที่ปกครองตำบลยะรัง และตำบลวัด อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เมืองโบราณยะรังเป็นชุมชนสมัยเริ่มแรกประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทย และเชื่อว่าเป็นที่ตั้ง อาณาจักรโบราณที่มีชื่อว่า "ลังกาสุกะ" หรือ "ลังยาเสียว" ตามที่หลักฐานปรากฎในเอกสารของจีน ชวา มลายู และอาหรับ ย่อมแสดงว่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญตั้งอยู่ใกล้ทะเล มีอาณาเขตกว้างขวางเป็นดินแดนที่มั่งคั่ง มีบทบาททางเศรษฐกิจการเมืองเกี่ยวข้องกับดินแดน ซึ่งมีความเจริญขึ้นและพัฒนาสืบต่อเรื่อยมาอีกหลายสมัย นับเวลาเป็นพันปี ดังที่มีหลักฐานเป็นร่องรอยของคูน้ำ-คันดิน คูเมืองและซากเนินดินโบราณสถานในท้องที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานีในปัจจุบัน 09.30 น. ชมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เลือกซื้อของฝาก 11.00 น. เที่ยวชมทัศนียภาพเขื่อนปัตตานี ที่กักเก็บน้ำจากแม่น้ำปัตตานี 12.00 น. บริการอาหาร ปฏิบัติภารกิจทางศาสนา จากนั้นเดินทางชม 13.00 น. วัดช้างไห้ เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า ๓๐๐ ปี นมัสการหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนในภาคใต้ เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า 300 ปี ตามตำนานกล่าวว่า พระยาแก้มดำเจ้าเมืองไทรบุรี ต้องการหาชัยภูมิสำหรับสร้างเมืองใหม่ให้กับน้องสาว จึงได้เสี่ยงอธิฐาน ปล่อยช้างให้ออกเดินทางไปในป่า โดยมีเจ้าเมืองและไพร่พลเดินติดตามไป จนมาถึงวันหนึ่ง ช้างได้หยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วร้องขึ้นสามครั้ง พระยาแก้มดำจึงได้ถือเป็นนิมิตที่ดี จะใช้บริเวณนั้นสร้างเมือง แต่น้องสาวไม่ชอบ พระยาแก้มคำจึงให้สร้างวัด ณ บริเวณดังกล่าวแทน แล้วให้ชื่อว่า วัดช้างให้ แล้วนิมนต์พระภิกษุรูปหนึ่ง ที่ชาวบ้านเรียกว่า ท่านลังกา หรือ สมเด็จพะโคะ หรือ หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ท่านได้เดินธุดงค์ไปมา ระหว่างเมืองไทรบุรีกับวัดช้างให้ และได้สั่งลูกศิษย์ไว้ว่า ถ้าท่านมรณะภาพ ขอให้นำศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ ซึ่งเมื่อท่านมรณะภาพที่เมืองไทรบุรี ลูกศิษย์ก็ได้นำศพท่านมา ทำการฌาปนกิจที่วัดช้างให้ อัฐิของท่านส่วนหนึ่งฝังไว้ที่วัดช้างให้ อีกส่วนหนึ่งนำกลับไปเมืองไทรบุรี ต่อมาได้สร้างสถูปบรรจุอัฐิของท่านไว้ที่วัดช้างให้ 14.00 น. นำท่านชม วังหนองจิก บ้านตุยง ตำบลยง อำเภอหนองจิก เจ้าเมืองหนองจิกคนสุดท้ายคือ พระยาเพชราภิบาลนฤเบศร์ ฯ (พ่วง ณ สงขลา ) ได้ใช้วังนี้อยู่ สันนิษฐานว่าวังนี้สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. 2437 ตัววังนี้ที่เหลืออยู่ประกอบด้วยอาคารสองหลัง เป็นอาคารชั้นเดียวแต่ยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร อาคารที่เป็นตัววัง ถูกรื้อถอนไประหว่างสงครามมหาเอเซียบูรพา อาคารที่เหลืออยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก 15.00 น. วัดตุยง หรือ วัดมุจลินทวาปีวิหาร ศูนย์กลางการปกครองเมืองหนองจิกเดิม ซึ่งเป็นที่ตั้งจวนเจ้าเมืองและที่ว่าการของผู้ว่าราชการเมืองมาหลายสมัย วัดตุยงได้ชื่อว่าเป็นแหล่งให้กำเนิดการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมแห่งแรกของมณฑลปัตตานี จากการที่ วัดมุจลินทวาปีวิหาร ได้มีการปรับปรุงกิจการจนเกิดความรุ่งเรืองก้าวหน้า เป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั้งในและนอก ประเทศ จึงทรงมีพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกวัดมุจลินทวาปีวิหารขึ้นเป็นพระอารามหลวงเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ 16.30 น. เดินทางกลับที่พักชุมชนท่องเที่ยวทรายขาว บริหารอาหาร ณ ชุมชนบ้านทรายขาว
วันที่สาม ปัตตานี 07.30 น. บริการอาหาร ณ ที่พัก จากนั้นนำคณะเยี่ยมชม 08.30 น. ชมมัสยิดกลางปัตตานี 09.30 น. เยี่ยมชมกลุ่มแม่บ้าน การทำกล้วยเส้น การทอผ้าทอผ้า 10.30 น. อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว เดิมชาวบ้านเรียกว่า น้ำตกตะโกน มีต้นน้ำเกิดจากยอดเขานางจันทร์ในทิวเขาทรายขาว เทือกเขาสันกาลาคีรี ถูกค้นพบโดยพระครูศรีรัตนากร (ท่านสีแก้ว) อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาวมีพื้นที่ครอบคลุมป่าสงวนแห่งชาติเขา และป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขาสันกาลาคีรี ประกอบด้วยจุดเด่นตามธรรมชาติและน้ำตกที่สวยงาม สภาพป่าอุดมสมบูรณ์ ร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิดที่ควรแก่การศึกษาหาความรู้เป็นอย่างยิ่ง 11.30 น. บริการอาหาร ปฏิบัติภารกิจทางศาสนา 13.00 น. เดินทางต่อ 14.00 น. เยี่ยมชมเมืองปัตตานี 15.00 น. เที่ยวชมพลับพลาที่ประทับ ร.๗ อ.โคกโพธิ์ สมัยที่เสด็จเมืองปัตตานี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๒ คณะดาราศาสตร์ชาวอังกฤษและเยอรมัน กราบบังคมทูลเชิญรัชกาลที่ ๗ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร บนภูเขาหลังที่ว่าการอำเภอโคกโพธิ์ โดยมณฑลปัตตานีได้สร้างพลับพลาไว้เพื่อเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ ๗ ทั้งที่อำเภอโคกโพธิ์และอำเภอเมืองปัตตานี และพระองค์ได้เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาทั้ง ๒ แห่ง เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๒ แต่ที่อำเภอโคกโพธิ์วันนั้นท้องฟ้ามืดครึ้ม ไม่สามารถมองเห็นสุริยุปราคาได้ พระองค์จึงเสด็จมาทอดพระเนตรที่เมืองปัตตานี กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนพลับพลาที่ประทับรัชกาลที่ ๗ ที่อำเภอโคกโพธิ์ เป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ และดำเนินการบูรณะเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ 16.30 น. เดินทางกลับที่หมายและถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ด้วยรอยยิ้มและความประทับใจ
***โปรแกรมอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม***
|