วัดชะแล้ ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลชะแล้
อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เป็นหนึ่งในวัดโบราณของลุ่มน้ำทะเล สาบสงขลา เทียบเคียงวัดพะโคะ
ซึ่งตามประวัติก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 1999 ทำให้มีอายุจนถึงปัจจุบัน 551 ปี
นับได้ว่ามีความเก่าแก่เป็นอันดับสองรองจากวัดพะโคะ
วัดชะแล้มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนในตำบลให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก คือ "โบสถ์เขาตก"
โบสถ์เขาตก ท่านสมภารปาน เจ้าอาวาสวัดชะแล้
รูปที่ 5 ได้ค้นพบเมื่อประมาณปี พุทธศักราช 2407 ในสมัยนั้นบริเวณเนินเขาทิศตะวันตกมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมอยู่มาก
ไม่มีคนกล้าขึ้นไปเพราะเป็นเนินเขาที่เปลี่ยว
กอรปกับทางด้านทิศตะวันตกของเนินเขาเป็นที่ฝังศพของมุสลิมในอดีต
คนไม่กล้าขึ้นไปบนเนินนี้ ท่านเจ้าอาวาส จึงได้ชักชวนประชาชนขึ้นไปแผ้วถางตัดแต่งต้นไม้ที่ไม่จำเป็นออก
เมื่อถางไปก็พบเศียรพระพุทธรูปโผล่อยู่บนดิน
จึงช่วยกันขุดดินออกจึงพบพระพุทธรูปที่สมบูรณ์ได้นำมาทำความสะอาดแลประดิษฐาน ไว้ ภายหลังสร้างวิหารคลุม ประชาชนจึงเรียกชื่อของพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระโบสถ์ตก
ต่อมามีพระภิกษุที่จำพรรษา ชื่อ ภิกษุอ้น
ได้ก่อพอกปูนโอบองค์พระพุทธรูปให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยมีหน้าตักกว้าง 4 ศอกเท่าขนาดปัจจุบัน ประชาชนโดยทั่วไปในตำบลชะแล้จะให้ความเคารพในความศักดิ์สิทธิ์
ของพระพุทธรูปนี้เป็นอย่างมาก มีความเชื่อในเรื่องการบนบาน การขอให้สมหวังในสิ่งที่ต้องการ
ตำนาน คำเล่า
ที่เกี่ยวกับโบราณสถานบริเวณวัดชะแล้
พระบรมธาตุสุวรรณคีรีเจดีย์วัดชะแล้
พระบรมธาตุสุวรรณคีรีเจดีย์วัดชะแล้
มีประวัตที่น่าจะเทียบเคียงได้กับเจดีย์ของวัดสทิงพระ วัดพะโคะ และ
วัดเขียนบางแก้ว โดยเป็นรูปทรงระฆังคว่ำ คาดว่าจะมีอายุประมาณ 600 ปี
(คำนวณจากรูปทรงก่อสร้างและโบราณวัตถุที่ขุดพบในบริเวณเจดีย์องค์เก่า เช่น
พระพุทธรูปสมัยลพบุรี ฯ) เมื่อ พ.ศ. 2512 สมัยของท่านสมภารแดงเป็นเจ้าอาวาส
ได้ให้นาค (ผู้ที่รอบวชซึ่งต้องมาอยู่ที่วัด) จำนวนหนึ่งขึ้นไปถางต้นไม้บริเวณยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์
พวกนาคเหล่านั้นจึงได้ขุดคุ้ยกองอิฐซึ่งเป็นเจดีย์องค์เก่าที่พังลงมา
(หรืออาจก่อสร้างไม่เสร็จ)
และได้รื้อลงไปในฐานรากของกองอิฐนั้นได้พบขันใบใหญ่ที่บรรจุพระพุทธรูปทองคำ แหวน
เพชรพลอยทั้งที่ได้เจียรนัยเป็นหัวแหวนแล้ว และที่เป็นเม็ดเดิม ๆ
รวมไปถึงเจดีย์แก้ว 3
ส่วนที่ถอดประกอบได้และส่วนกลางได้บรรจุเศษกระดูกซึ่งเชื่อว่าเป็นธาตุพระ
เมื่อเป็นข่าวกระจายออกไปในตอนเย็นวันนั้นก็มีชาวบ้านพากันขึ้นไปขุดค้นหาสมบัติที่บริเวณนั้น
โดยเชื่อว่าเป็น “กรุแตก” ตามคำที่นิยมพูดกัน
แต่พวกเขาทุกคนที่ได้สิ่งของเหล่านั้นก็พากลับมาส่งคืนในวันรุ่งขึ้น
เพราะรู้สึกว่ามีคนไปทวงกลับในตอนกลางคืน
เรื่องการขุดพบดังกล่าวเมื่อเป็นข่าวถึงกรมศิลปากรก็ได้ดำเนินการถ่ายภาพและขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุ และนำไปเก็บรักษาไว้ส่วนหนึ่ง
(ไม่ทราบสถานที่เก็บ) ส่วนที่เหลือได้ถูกบรรจุเก็บไว้ภายในเจดีย์ใหญ่ที่ได้สร้างครอบไว้ภายหลัง
(องค์ใหญ่ปัจจุบัน)
ถ้ำนางทอหูก
ถ้ำนางทอหูก
อยู่เชิงเขาชั้นที่สองรองจากที่ตั้งของเจดีย์
ตามตำนานเล่าว่าเป็นถ้ำที่เก็บสมบัติไว้มากมาย มีช้างเฝ้าหน้าถ้ำ 1 เชือก
และเทพธิดาเฝ้ารักษา 1 องค์ ชาวบ้านเรียกว่านางทอหูก ซึ่งเรียกชื่อจากที่มีหลายคนได้ยินเสียงการใช้เครื่องทอผ้า
(ชาวบ้านแถบลุ่มน้ำเรียกว่าทอหูก) ดังมาจากบริเวณถ้ำในทุกวันพระ
ในถ้ำมีสมบัติที่ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์ก็คือ ถ้วยชาม ถาด โถ ฯ
ซึ่งเมื่อต้องการใช้ในงานพิธีก็มาจุดธูปเทียนร้องขอที่หน้าถ้ำแล้วกลับมาเอาของเหล่านั้นในวันรุ่งถัดไป
กล่าวกันว่า นางทอหูก เป็นผู้หญิงที่สวยและในตอนหลังก็มีสามเณรเข้าไปเพื่อปลุกปล้ำ
นางทอหูกจึงต้องเดินทางไปอยู่ที่อื่น
โดยได้เดินไปเวลามืดค่ำถึงที่บริเวณเกาะหนึ่งในบริเวณทะเลสาบสงขลาชาวบ้านจึงเรียกว่า
เกาะนางคำ ซึ่งมาจากคำว่า นางค่ำ (คำเล่านี้สอดคล้องกับตำนานของถ้ำ สีสอน
บ้านสีสอน ตำบลเขาพระ อำเภอรัตภูมิ
ที่มีการระบุว่าพระนางสีสอนเจ้าของถ้ำมาจากเกาะนางคำ)
ส่วนสามเณรที่เข้าไปในถ้ำก็ถูกปากถ้ำปิดตัดคอขาดตาย
ดังที่ปรากฏอยู่ที่หน้าถ้ำปัจจุบัน
|